VGI สุดปัง! เผย Q2 ปี 63/64 พลิกฟันกำไรสุทธิ 12 ล้านบาทเดินหน้าฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ วีจีไอ (“VGI”) ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่หวั่นแม้ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยตรง เผยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563/64 สามารถพาธุรกิจฝ่าวิกฤต COVID-19 ด้วย Ecosystem ที่ครบวงจร นำพาบริษัทฯ พลิกมีกำไรสุทธิที่ 12 ล้านบาท ด้วยรายได้ที่ 717 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านมีรายได้ที่ 480 ล้านบาท และธุรกิจบริการด้านดิจิทัลมีรายได้ 237 ล้านบาท
คุณ เนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2563 ถือเป็นปีที่หลายธุรกิจ ทั่วโลก รวมทั้งบริษัทฯ เองต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ทั้งจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบทำให้หลายบริษัทลดความต้องการในการใช้จ่ายด้านโฆษณา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI อีกทั้งวิกฤตดังกล่าวยังทำให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมที่มีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานของธุรกิจทั้งในและต่างประเทศของ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) จากการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐ อาทิ การจำกัดเวลาออกนอกเคหะสถาน การรณรงค์ให้อยู่บ้าน รวมถึงการจำกัดการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม VGI ได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจากไตรมาสก่อนหน้านี้ ทำให้สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ อันเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของการจราจรและการที่ผู้คนเริ่มเดินทางกลับมาทำงานที่สำนักงาน ส่งผลทำให้ความต้องการใช้โฆษณาของแบรนด์และนักการตลาดเริ่มเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคเองก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน บริษัทฯ มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการต้นทุนและจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกระแสเงินสด เช่น การลดค่าใช้จ่ายด้านงานซ่อมบำรุงรักษา รวมถึงการเข้าเจรจาขอปรับลดค่าเช่ากับเจ้าของพื้นที่ จากเหตุผลข้างต้นส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ปี 2563/64 พลิกกลับมาฟันกำไรสุทธิเป็นบวกได้ในที่สุด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการควบคุมและบริหารจัดการของบริษัทฯ รวมทั้งความแข็งแรงของทุกหน่วยธุรกิจที่สามารถต่อยอดสร้าง Synergy ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ VGI สามารถก้าวข้ามผ่านจุดต่ำสุดของผลประกอบการทางการเงินได้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเดินหน้าพาองค์กรฝ่าวิกฤตที่ยากจะคาดการณ์ในครั้งนี้ได้อย่างยั่งยืน
ด้านทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท
ในไตรมาสนี้ ธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัทฯ ร่วมมือกับลูกค้าแบรนด์น้ำแร่มิเนเร่ ปล่อยแคมเปญที่ผสมผสานการใช้สื่อแบบ O2O โซลูชั่นส์ คือออฟไลน์อย่างสื่อนอกบ้านร่วมกับเทคโนโลยีภาพเสมือน (AR Technology) ที่ไม่เพียงสร้าง Engagement เท่านั้น แต่ยังสร้าง Conversion ที่กลับมาเป็นยอดขายให้แก่แบรนด์ได้ด้วย ด้านธุรกิจบริการชำระเงิน แรบบิท ไลน์เพย์ ร่วมเป็นพันธมิตรกับ eLong International Travel (Hong Kong) Limited หรือ ‘TravelGo.com’ ผู้นำด้านการจองการท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีน เพื่อให้บริการจองการเดินทางและที่พัก ผ่านแรบบิท ไลน์เพย์ ทั้งนี้บัตรแรบบิทยังได้รับรางวัลการันตีความสำเร็จจาก Superbrands Thailand ในฐานะผู้นำการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การบริโภค สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา Kerry Express ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 0.50 บาท
บริษัทฯ ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างผลการดำเนินงานที่ดีเท่านั้น แต่เรายังได้ใส่ใจด้านการสร้างความยั่งยืนแก่สังคม โดยบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Pomelo แพลตฟอร์มแฟชั่นชั้นนำในรูปแบบ Omni-channel สัญชาติเอเชีย ในการสนับสนุนการสร้างความยั่งยืนให้แก่โลกผ่านโปรเจกต์ “Trash to Treasure” ผ่านการอัพไซเคิลไวนิลจากป้ายโฆษณาที่ใช้แล้วของ VGI นำมาเปลี่ยนใหม่เป็นบรรจุภัณฑ์ของ Pomelo ซึ่งการผสานความร่วมมือระหว่างกันครั้งนี้ ทำให้ VGI ลดปริมาณขยะไวนิลลงได้มากกว่า 3,500 ตารางเมตร หรือ 3.5 ตัน และ Pomelo สามารถลดการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวได้มากกว่า 200,000 ชิ้น
“สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคตต่อสถานการณ์ที่ท้ายทายเช่นนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลการดำเนินงานที่ดี จากการปรับแผนธุรกิจโดยเน้นการรักษาสภาพคล่องและสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเราเชื่อว่าโซลูชั่นส์ทางการตลาดที่ครบวงจรแบบ Offline-to-Online (O2O) คือกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ผนวกกับแพลตฟอร์มที่หลากหลายของกลุ่มธุรกิจจะสามารถช่วยให้บริษัทฯ ยังคงอยู่ในจุดที่สามารถเติบโตทั้งด้านรายได้ และสร้างผลกำไร ให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมั่นคงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ต่อไปในอนาคต” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติม